ประโยชน์ของชาเขียวมีอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านมะเร็งและโรคหัวใจ รวมทั้งการลดปริมาณคลอเรสเตอรอล ซึ่งชาเขียวจมีส่วนช่วยในกากรเผาผลาญไขมัน ป้องกันโรคเบาหวานและเส้นเลือดอุดตัน ไปจนถึงการชะลอความเสื่อมของสมองฯลฯ
และด้วย คุณประโยชน์อันมากมายของชาเขียว จึงเป็นเหตุผลที่ชาวญี่ปุ่น และชาวจีน หันมาดื่มชากันเป็นกิจวัตรมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี ซึ่งคุณประโยชน์ของชาเขียวต่างๆ เกิดขึ้นมาจากสารต้านอนุมูลอิสระหรือที่เรียกกันว่า คาเทชินส์ ที่จะคอยจัดการกับอนุมูลอิสระที่สามารถทำร้ายดีเอ็นเอที่ส่งผลทำให้เกิดสารก่อโรคมะเร็ง เส้นเลือดอุดตันและตีบแข็ง ซึ่งแม้ว่าในองุ่นเบอร์รี่ ไวน์แดง และดาร์กซ็อกโกแลตจะมีสารต้านอนุมูลอิสระนี้อยู่เช่นกัน แต่ปริมาณก็ไม่มากเท่าที่มีในชาเขียว
เคล็ดลับการเลือกชา
ชาถือกำเนิดมาจากพืชตระกูล Camelliea เป็นเครื่องดื่มที่คนทั่วโลกนิยมบริโภคไม่น้อยไปกว่า กาแฟ และโกโก้ มี ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ใบแหลมสีเขียว มีดอกสีขาว มีกลิ่นหอม ส่วนที่นำมาเป็นเครื่องดื่มจะอยู่บนสุด เป็นตำแหน่งของการผลิใบอ่อน และการแตกหน่อ
– ลักษณะของใบชาที่ดีต้องมีรูปร่าง ขนาด สี ที่เป็นลักษณะเดียวกัน และไม่มีก้านชาหรือสิ่งอื่นปะปน
– กลิ่นของใบชาที่ดีจะมีกลิ่นของความสด หอมติดจมูก และไม่มีกลิ่นอื่น ๆ ปะปน
– เมื่อสัมผัสใบชายิ่งมีน้ำหนักมาก ก็ยิ่งมีคุณภาพสูงมาก
– ทดลองชิมรสชาติของน้ำชา น้ำชาที่ดีต้องรสเข้ม มีกลิ่นหอมและหวานที่ปลายลิ้น
ประโยชน์สูงสุดจากการดื่มชา
1. ดื่มชาเพื่อลดน้ำหนัก
ชาเขียวแก้วแรกของวันควรเป็นชาเขียวร้อนแบบชงเอง ที่ไม่ใส่น้ำตาล สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือน้ำผึ้ง ซึ่งเชื่อว่าเป้าหมายของการดื่มชาของสาวๆ หลายคนส่วนใหญ่อยากจะหันมาดื่มชาเพื่อการลดน้ำหนัก ซึ่งชาที่ได้รับความนิยมเพื่อดื่มลดน้ำหนักก็คือ ชาเขียว เพราะชาเขียวมีสารอีพิกัลโลคาเทชินกัลเลต (EGCG) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมันจึงสามารถส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนักของร่างกาย ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับดื่มชาเขียวคือ ตอนเช้าหลังตื่นนอน ซึ่งชาเขียวจะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน และเผาผลาญต่อเนื่องตลอดทั้งวัน การลดน้ำหนักที่ได้ผลคือควรดื่มชาเขียววันละ 3 ครั้ง ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนมผง นมสด นมข้น เพราะโปรตีนจากนมจะไปจับกับสารสำคัญในชาเขียว และไปทำลายประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวที่ดีที่สุดก็คือการดื่มแต่น้ำชาล้วน ๆ โดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเพิ่มเติม การที่ดื่มชาเขียวบ่อยๆ จะช่วยทำให้ร่างกายเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานอย่างต่อเนื่อง
2. ดื่มชาเพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมัน
การดื่มชาที่ถูกวิธีและถูกเวลาก่อให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ต่อร่างกายมากๆ ทั้งช่วยให้ลดน้ำหนัก ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน ช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร ฯลฯ ซึ่งดื่มชาเขียวก่อนไปออกกำลังกายประมาณ 45 นาที จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันระหว่างออกกำลังกายได้ถึง 2 เท่า ง่ายๆ คือ แค่ชงชาเขียว 1-2 ช้อนชาในน้ำร้อน 200 มิลลิลิตร
3. ดื่มชาเพื่อกระตุ้นการย่อยอาหาร
การดื่มชาเข้มๆ หลังจากรับประทานอาหารแล้ว 2-3 ชั่วโมง จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยภายในกระเพาะอาหารหลั่งออกมามาก ซึ่งจะช่วยย่อยอาหารจำพวกวิตามินต่างๆ ได้ดี แต่สำหรับคนที่ดื่มชาเป็นประจำ หากใครที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบควรจิบน้ำชาอ่อนๆ เพราะน้ำชาแก่หรือเข้มข้นเกินไปจะทำให้กรดในกระเพาะอาหารหลั่งออกมามากเกินไปทำให้เกิดการระคายเคืองภายในกระเพาะอาหารมากขึ้น
ดื่มชาที่เพิ่งชงเสร็จร้อนๆ ดีที่สุด
หากชงชานานเกินไปและปล่อยทิ้งไว้นาน สารสำคัญจะลดลง เพราะอุณหภูมิและเวลามีผลต่อการลดลงของสารที่มีประโยชน์ต่างๆ ในชา นั่นเป็นเพราะชาที่ชงเสร็จแล้วจะอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างสารคาเฟอีนและธิโอฟิลลีน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และสารอีพิกัลโลคาเทชินกัลเลต (EGCG) ซึ่งมีความสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมันทำให้ส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนักของร่างกาย
ชาเขียวกับการรักษามะเร็ง
ชาเขียวมีสาร Catechin Polyphenol โดยเฉพาะสาร Epigallocatechin Gallate (EGCG) ที่มีอยู่มาก โดยมีคุณสมบัติเป็นสารต้านพิษ และยังช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี ช่วยลดระดับ LDL โคเลสเตอรอลในเลือด และป้องกันการจับตัวของลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหัวใจวาย และลมชัก
มีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากการดื่มชา กับประโยชน์ที่ได้จากการดื่มไวน์ ว่า??? ทำไมชาวฝรั่งเศสจึงมีอัตราการป่วยด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาวอเมริกัน ซึ้งทั้งสองประเทศบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงเหมือนกัน นั่นเป็นเพราะชาวฝรั่งเศสมักนิยมดื่มไวน์ซึ่งในไวน์แดงมีสาร Resveratrol ที่เป็น Polyphenol ที่สามารถลดอันตรายจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งสาร EGCG นั้น แรงเท่าๆ กับ Resveratrol ถึงเกือบ 2 เท่า เป็นการอธิบายว่าทำไมชาวญี่ปุ่นที่นิยมดื่มชาเขียวจึงมีอัตราการเสี่ยงโรคหัวใจค่อนข้างต่ำ แม้ว่าจะมีผู้สูบบุหรี่มากมายก็ตาม